การเปลี่ยนผ้าเบรค แบบดิสก์ด้วยตนเองนั้น ช่าง หรือกูรู หลายคนไม่แนะนำให้ทำ เพราะมันเป็นเรื่องของความปลอดภัย หากทำผิดพลาด ขาดตกบกพร่องอาจอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สินได้
แต่สำหรับคนที่มีพื้นฐานทางช่าง ที่ผ่านการเรียนวิชาเทคนิคพื้นฐาน เทคนิคการใช้เครื่องมือ พื้นฐานความปลอดภัยมาแล้ว ผมคิดว่าท่านสามารถทำได้ ไม่ว่าท่านจะเรียน ช่างก่อสร้าง ช่างเชื่อม ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างไฟฟ้า ฯลฯ เพราะว่าเมื่อศึกษาเพิ่มเติมจากที่เขาสอนในเว็บ หรือใน youtube เราจะรู้ว่ามันทำได้ไม่ยากเลย
ในวันนี้ หลังจากผมเคยใช้บริการเปลี่ยนผ้าเบรคมาครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งนั้นไม่แน่ใจว่าช่างเอาผ้าเบรคยี่ห้ออะไรมาเปลี่ยนให้ ตอนใช้ใหม่ ๆ ก็ไม่ได้เปรียบเทียบกับรถอะไร ขับไปได้เรื่อย แต่เมื่อได้ขับรถคันอื่นแล้ว มาเปรียบเทียบกันแล้ว ปรากฏว่ารถเราเบรคไม่ค่อยดี เสี่ยงต่อการชนท้ายเพื่อนได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะพฤติกรรมการขับรถของผู้ใช้รถในปัจจุบัน ที่ไม่เหมือนในอดีต เพราะในอดีตรถไม่มาก การแย่งพื้นที่บนถนนจะไม่มี แต่พอมีโครงการรถคันแรกเกิดขึ้น จึงมีพวกเกรียนขับรถ ปาดซ้าย ปาดขวา แซงขึ้นมาแล้วแกล้งเบรคก็มี อย่างล่าสุด สด ๆ ร้อน ๆ ทำให้เราต้องเบรคจนเสียงอี๊ด!!! ดังสนั่น......
หากเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ คงอันตราย เห็นทีต้องเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่แล้ว ดังนั้นจึงเข้าศึกษาหาความรู้กับอาจารย์กูเกิล และ youtube ได้รู้ว่ายี่ห้อ เบนดิก กับ akebono น่าสนใจ จึงไปซื้อที่ร้านอะไหล่ยนต์ ได้ยี่ห้อ เบนดิก ส่วน akebono พนักงานที่ร้านไม่รู้จัก อย่าลืมตอนซื้อต้องบอกยี่ห้อและรุ่นของรถเราให้ตรงกันด้วยนะครับ
มาดูขั้นตอนการเปลี่ยนผ้าเบรค กันเลยดีกว่า
1. ขั้นตอนการเตรียมการ และการรักษาความปลอดภัยขณะทำงาน
- ดึงเบรกมือเพื่อไม่ให้ล้อหลังเคลื่อน
- ถอดน็อตยึดล้อหน้าด้านที่ต้องการเปลี่ยนก่อนให้พอหลวม ๆ ไม่ต้องให้หลุดออกมา
- ใช้แผ่นไม้ หรือแผ่นคอนกรีตที่หนา ๆ เรียบ ๆ รองใต้ฐาน วางแม่แรงยกรถไว้บนเพื่อกันแม่แรงล้ม ขณะยกรถขึ้น
- นำแม่แรงที่ติดมากับรถ วางตรงตำแหน่งที่คู่มือประจำรถแนะนำ (จะมีเครื่องหมายบอก) ทำการหมุนแม่แรงเพื่อยกรถให้สูงจนวางเหล็ก 3 ขาได้
- ถอดน็อตที่ล้อออกให้หมดทั้ง 4 ตัว ดึงล้อออกมา ถ้าแน่นมาดึงด้วยมือไม่ได้ ให้ใช้เท้าถีบที่ยาง จะหลุดออกมาง่ายดาย
2. ขั้นตอนการเปลี่ยน
- ใช้ประแจเบอร์ 14 (ใช้ประแจบล็อกจะทำให้ถอดง่ายขึ้น) ถอดน็อตตัวบน ดังภาพ (น็อตตัวล่างไม่ต้องถอด)
- ใช้คีมดึงคลิปหนีบ (ที่ทำหน้าที่รั้งตรึงสายเบรคให้อยู่กับที่) ออกมา แล้วดึงสายเบรคออกมา ถ้าแน่นมากจะใช้คีมดึงไม่ออก ให้ใช้ฆ้อนตีบนไขควงตอกให้เคลื่นตัว แล้วใช้คีมดึงอีกที
- เมื่อถอดน็อตตัวบนออกแล้ว และสายเบรคออกจากตัวยึดแล้ว ให้ดึงเปิดฝาครอบผ้าเบรคลงมา
- จะเห็นแผ่นรองผ้าเบรก เป็นแผ่นเหล็กบาง ๆ ให้ดึงออกมาได้เลย หลังจากนั้นจึงดึงแผ่นผ้าเบรคออกมาอย่างง่ายดาย
- ขั้นตอนการใส่กลับ ให้เอาผ้าเบรคใส่เข้าไปในร่อง เหมือนกับที่เอาออกมา แล้วค่อยใส่แผ่นเหล็กบาง ๆ ปิดประกบ แต่มันจะไม่เรียบสนิทกับแผ่นผ้าเบรค บางทีหลุดหรือหล่นลงมา จึงควรทาจารบีด้านที่ประกบกับผ้าเบรคบาง ๆ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้มันเรียบสนิทสะดวกตอนยกฝาครอบเบรคกลับ
- หลังจากนั้น ให้ลงมือถอดชุดผ้าเบรคด้านใน ในตอนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ เราสามารถก้มหน้าเข้าไปมองแผ่นเบรคเห็น จัดการนำแผ่นเหล็กบางออกมา ซึ่งด้านในจะมีแผ่นรอง 2 แผ่น วิธีการถอดและการใส่จะเหมือนกันทั้งสองด้าน
- ในเว็บบอร์ดที่มีการถามตอบการเปลี่ยนเบรค จะมีการแนะนำให้เจียร์จานเบรค แต่เราควรดูด้วยตนเองได้ว่าจานเบรคของเรามีร่องรอยไม่เรียบ หรือไม่ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ปล่อยให้ผ้าเบรคหมด มักจะไม่เกิดร่อง รอยสึกหรอแต่อย่างใด การที่ช่างเขาแนะนำให้เจียร์จานเบรคเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
- เมื่อใส่ผ้าเบรคเสร็จทั้ง 2 ด้านแล้ว ขั้นต่อไปคือการปิดฝาครอบเบรคกลับ แต่จะไม่สามารถปิดได้ เพราะคาลิปเปอร์ หรือลูกยางที่คอยดันออกเมื่อเราเหยียบเบรค มันจะยื่นออกมามากทำให้ช่องมันแคบ ปิดไม่ได้ ดังนั้นต้องใช้ ซีแคลมป์ ขันให้น้ำมันเบรคออกไปพร้อมกับลูกยางให้มันผลุบเข้าไปด้านใน ซึ่งขณะหมุนเข้าไปน้ำมันเบรคภายในสายจะขึ้นไปเก็บในช่องเติมน้ำมันเบรค จึงต้องเปิดฝาน้ำมันเบรคออก
- ในการขันซีแคลมป์เราอาจใช้แผ่นเบรคเก่ารอง หรือใช้แผ่นไม้ ก็ได้ จากนั้นจึงยกฝาขึ้นปิดกลับตามเดิม พร้อมยึดน็อตเบอร์ 14 และยึดตรึงสายเบรคด้วยคลิปหนีบตามเดิม
- จัดการใส่ล้อ ใส่น็อตล้อทั้ง 4 ตัว ขันพอแน่น เอาสามขาออก และแม่แรงลง เมื่อล้อถึงพื้นจึงหมุนน็อตยึดล้อให้แน่นทั้ง 4 ตัว
- จัดการเปลี่ยนแผ่นผ้าเบรคอีกด้านของรถ ด้วยวิธีเดียวกัน
- เสร็จแล้วอย่าลืม ยึดน็อตที่ล้อให้แน่น และปิดฝาน้ำมันเบรคให้สนิท
- ทดลองขับ ทดลองเบรค ในครั้งแรกที่เครื่องสตาร์ทติดต้องทดลองเหยียบเบรค 2-3 ครั้งก่อนเพื่อให้ไล่ลม มิฉะนั้นหากเข้าเกียร์ออกรถไปเลย จะเบรคไม่ได้ อาจเกิดอุบัติเหตุได้
รถผมคันนี้มีระยะเข็มไมล์ วิ่งได้ 327000 กว่า กม. แล้ว เพิ่งเปลี่ยนผ้าเบรคครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบสภาพ ระหว่างของใหม่ กับของที่ถอดดูปรากฏว่า ผ้าเบรคสึกไปแค่เพียงครึ่งเดียว
ด้านซ้ายมือเป็นของใหม่ ด้านขวาเป็นของที่ถอดออกมา
จะเห็นว่า ผมขับรถ ใช้เบรคน้อยมาก เมื่อเทียบกับคนขับอื่น ๆ ดังนั้น จึงขอให้คำแนะนำให้ผู้ที่สนใจต้องการใช้รถให้ได้นาน ประหยัดค่าซ่อมบำรุง ค่าอะไหล่ มีดังนี้
- สิ่งแรกที่ผมจะทำคือ กำหนดไว้เลยว่า ถ้าเดินทางระยะใกล้ ๆ จะใช้วิธีเดิน กับปั่นจักรยาน ยกเว้นต้องบรรทุกสิ่งของ
- ขับรถความเร็วตามกฏหมายกำหนดคือ 90 กม./ชม. หากต้องเร่งรีบ จะใช้วิธีไปก่อนเวลา อย่าคำนวณตามระยะทางตามหลักคณิตศาสตร์ เช่น เราจะเดินทางไปยังเป้าหมายระยะทาง 90 กม. เราคำนวณว่า เราใช้ความเร็ว 90 กม./ชม. ดังนั้น เราจะใช้เวลาเพียง 1 ชม.ก็พอ ซึ่งแบบนี้จะผิดพลาด เพราะเราต้องเผื่อติดไฟแดง เผื่อการจราจรติดขัด เผื่อผ่านเขตชุมชน ฯลฯ ปกติ ระยะทาง 90 กม. ผมใช้เวลา 1 ชม.30 ถึง 1 ชม. 45 นาที
- อย่าขับรถชิดคัดข้างหน้ามากเกินไป ผมจะใช้ระยะห่างจากท้ายคันหน้า ประมาณ 4-5 วินาที ใช้เทคนิคมาร์คท้ายรถคันหน้าแล้วนับ 01-02-03-04 ถ้าตำแหน่งที่พูด 04 ถึงตำแหน่งที่ท้ายรถคันหน้าอยู่พอดี (ตอนเราพูด 01) เราจะปลอดภัยจากการชนท้าย หรือการเบรคอย่างรุนแรง วิธีการนี้ใช้ได้ทุกความเร็ว
- หากรถเราอยู่ระยะห่างตามข้อข้างบน ในขณะคันข้างหน้าเบรค ให้เราเพียงยกเท้าออกจากคันเร่งเท่านั้น ไม่ต้องเบรคตาม
- หลีกเลี่ยงขับรถตามหลังคันที่เบรคโดยไม่มีเหตุผล หรือเร่งความเร็วแล้วเบรค เร่งแล้วเบรค
- เมื่อเห็นรถติดไฟแดงตั้งแต่ไกล ๆ ให้ถอนคันเร่งทันที ปล่อยให้รถไหลไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยเบรคเบา ๆ เมื่อใกล้จะถึงรถคันหน้า
- หลักการแซงอย่างปลอดภัย คือ การแซงรถคันหน้า ให้ใช้ความเร็วกว่ารถที่เราจะแซง 10% ก็เพียงพอ หากคันหน้าเปลี่ยนเลนกะทันหันจะทำให้เราเบรคได้ทัน การทำความเร็วสูง แล้วแซงรถที่ความเร็วปกติ จะทำให้รถคันหน้าตกใจได้
- ไม่เปิดไฟสูงกระพริบใส่รถคันหน้า