วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ซ่อมไดชาร์จ Mitsubishi Lancer E-car 93 เปลี่ยน แปรงถ่าน

ไดชาร์จ ในภาษาช่าง มาจากคำว่า ไดนาโม ในอดีต ตอนเรียนช่างไฟฟ้า อาจารย์บอกว่า ไดนาโมมันเป็นแบบเก่า มันจะผลิตไฟกระแสตรงตั้งแต่เกิด แต่ปัจจุบันมันเกิดจากกระแสสลับก่อน แต่เมื่อเข้าอุปกรณ์ Rectifier มันจึงแปลงเป็นไฟกระแสตรง ไดชาร์จใช้สำหรับชาร์ตไฟกลับเข้าไปในแบตเตอรี่ไม่ให้ไฟหมด เร็คติไฟร์ ในรถยนต์เขาเรียกว่า regulator นอกจากมันจะทำหน้าที่แปลงจากไฟกระแสสลับเป็นกระแสตรงแล้ว ยังทำหน้าที่ควบคุมแรงดันไฟฟ้าไม่ให้เกินที่กำหนดด้วย แม้ว่าความเร็วรอบของเครื่องยนต์จะหมุนเป็น 3000-5000 รอบก็ตาม ภาษาช่างจึงเรียกว่า คัดเอาต์  จริง ๆ แล้วไดชาร์จภาษาทางการเขาเรียกว่า อัลเทอร์เนเทอร์ ครับ

มาว่ากันถึงการเสียของไดชาร์จตัวที่ซ่อมกันดีกว่า สาเหตุที่ทราบว่าเสียแล้ว ก็เนื่องมาจากขับรถอยู่บนถนนดี ๆ มีอันต้องดับสนิท ไฟกระพริบฉุกเฉินก็ไม่ติด หากขับรถกลางคืนจะอันตรายมาก ความเชื่อในเรื่องการช่วยกันเข็นให้สตาร์ตติดแล้วขับไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ใกล้ ๆ บ้านจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วหากเป็นกรณีนี้ เพราะอุปกรณ์ในรถยนต์ยุคใหม่จะทำงานด้วยไฟฟ้า เช่น ชุด ECU, Brake ABS, Solenoid Gas, และปั๊มติ๊ก เพราะมันใช้ไฟฟ้าทั้งนั้น หากไดชาร์จยังทำงานอยู่แม้ว่าแบตฯ จะหมดไฟก็ตาม แต่ไฟจากไดชาร์จมันส่งไปเลี้ยงอุปกรณ์ดังกล่าวได้ แต่หากว่าไดชาร์จเสียพร้อมกับแบตฯ หมด ไฟจึงไม่สามารถส่งไปเลี้ยงอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็คทรอนิคส์ได้ จึงดับเท่านั้นเอง ในครั้งนี้จึงเขียนมาบอกเพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้เพื่อน ๆ ตระหนักกันด้วยครับ

ไดชาร์จตัวนี้ยังไม่เคยเสีย ใช้มาได้ระยะ 315,000+ กม. เป็นเวลา 20 ปี ทำไมถึงใช้ได้นานขนาดนี้ ถ้าของใครเสียเร็วกว่านี้ขอถามว่า ท่านเพิ่มขนาดแบตเตอรี่ใหญ่กว่าเดิมไหม ท่านติดตั้งเครื่องเสียงเพิ่มขึ้น ท่านต่อพ่วงมอเตอร์ระบายน้ำร้อนขนานกับมอเตอร์แอร์หรือไม่ เพราะนั่นมันคือภาระ (load) ให้การทำงานของไดชาร์จมากขึ้น ทำให้เสื่อมเร็ว

วิธีการทดสอบว่าไดชาร์จยังทำงานอยู่หรือไม่ โดยการใช้มิเตอร์ไฟฟ้าวัดแรงดันไฟฟ้าในขณะที่ไม่ติดเครื่องกับขณะติดเครื่องเป็นอย่างไร หรือบางคนอาจใช้วิธีสตาร์ตให้ติดแล้วปลดขั้วลบออกหากดับแสดงว่าเสีย (ผมยังไม่ได้ทดลอง)


ภาพที่ 1 แรงดันไฟขณะเครื่องยังไม่สตาร์ต วัดได้ 12.38 โวลต์


ภาพที่ 2 แรงดันไฟฟ้าขณะเครื่องยนต์เดินเบา วัดได้ 13.94

แต่เมื่อเราเปิดให้โหลดทำงานมันจะลดลงบ้างเล็กน้อย ไฟที่สูงขึ้นนี้จะไปชาร์ตเข้าไปในแบตเตอรี่ ดังนั้น หากท่านสตาร์ตรถแล้ววัดไฟได้เท่าเดิมนั่นคือ แสดงให้เห็นว่าไดชาร์จของท่านเสียแล้ว

ขั้นตอนการเปลี่ยน แปลงถ่านไดชาร์จ จะต้องถอดสิ่งกีดขวางการเข้าถึงออกหลายสิ่ง มีดังนี้

1. ถอดกรองอากาศออก ทั้งสายยาง คลิปหนีบ  และน็อตจำนวน 4 จุด ดังภาพ



2. ถอดมอเตอร์พัดลมระบายความร้อนคอนเด็นเซอร์ระบบแอร์ โดยถอดน็อต 2 ตัว และซ็อกเก็ตขั้วไฟ ดังภาพ


3. ถอดน็อตแผ่นเหล็กปิดฝาเครื่อง จำนวนน็อต 6 ตัว ดังภาพ



4. ถอดขายึดไดชาร์จด้านที่ปรับสายพานได้ ด้วยการขันน็อตออก 2 ตัว เมื่อออกแล้วให้โยกไดชาร์จเพื่อปลดสายพานออก


5. ถอดขายึดไดชาร์จ น็อตที่ยึดด้านใน และถอดสายไฟออกทุกขั้ว จำขั้วให้ได้ หรือถ่ายรูปเก็บเอาไว้ก็ได้


6. เอาไดชาร์จไปถอดออกเป็นชิ้น ๆ ได้ 2 ส่วน โดยถอดน็อด 3 ตัว ดังภาพ การถอดตัวนี้ต้องใช้ไขควงกระแทกตอกเบา ๆ ก่อนนะครับ จึงจะออก


7. ถอดน็อตด้านท้าย ดังภาพ


8. ใช้ค้อนตอกเบา ๆ เพื่อแยกออกเป็น 2 ชิ้น เมื่อแยกได้แล้ว ถอดน็อตสกรูตัวยึดแปรงถ่านกับน็อตยึดเร็กกูเลเทอร์ออกมา ดังภาพ (อาจต้องใช้ไขควงกระแทก)


9. ค่อย ๆ ถอดชุดแปลงถ่านออก ด้านท้ายจะมีตัวปิดสายไฟยึดแปลงถ่าน ให้เอาออกจะเห็นรอยบัดกรี ให้เอาหัวแร้งบัดกรีสายแปรงถ่านออกมา ไปซื้อที่ร้านขายอะไหล่ยนต์ หรือไฟฟ้าก็ได้ ต้องเอาขนาดไปเปรียบเทียบนะครับ  ความยาวของแปรงถ่านควรไม่น้อยกว่า 6 ม.ม. ในกรณีของผมสายไฟแปรงถ่านไปขูดเอาหน้าสัมผัสของโรเตอร์ที่เป็นทองแดงสึกหรอ เพราะแปรงถ่านสั้นมากกว่า 5 ม.ม.


10. หากหน้าสัมผัส (ของคอมมิวเตเตอร์ เป็นศัพท์ของไดนาโมนะครับ ส่วนตัวนี้เขาเรียกว่าอะไรจำไม่ได้แล้ว) สึกหรอมากอาจใช้กระดาษทรายชนิดขัดเหล็กขัดออกมาให้เห็นทองแดงเสมอกัน (ของผมยังมีร่องด้านล่าง)


11. เมื่อบัดกรีแปรงถ่านกลับเข้าเหมือนเดิม จะลำบากในการใส่โรเตอร์กลับเข้าไปเพราะว่า มีแปรงถ่านโผล่อยู่ จึงสังเกตเห็นมีรูอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้แนวทาง ต้องกดให้แปรงถ่านเข้าไปข้างในแล้วใช้ลวดสอดมาจากฝาท้ายปิดแปรงถ่านไม่ให้โผล่  เมื่อใส่โรเตอร์ได้แล้ว จึงค่อยดึงลวดออก ดังภาพ


ลวดมองจากด้านใน


ลวดมองจากด้านบน


การประกอบกลับก็ใช้เทคนิคเช่นเดิมนะครับ คือการทำย้อนกลับ ระมัดระวังเรื่องน็อตสกรูเหลือนะครับ ต้องเก็บอะไหล่ น็อตสกรูที่ถอดออกมาให้เรียบร้อยนะครับ

บทสรุป ผลการซ่อมไดชาร์จครั้งนี้ วัดไฟฟ้าได้ตามภาพ 2 ภาพแรกนะครับ  สรุปว่าใช้ได้ การซ่อมเปลี่ยนแปรงถ่านไดชาร์จนั้น ช่างทั่วไปเขามักเปลี่ยนลูกใหม่ให้ หรือบางคนอาจจะซื้อของเชียงกงมาเปลี่ยนเพราะทำได้รวดเร็วกว่า แต่เมื่อพิจารณาของการเสียแล้วมีสิ่งที่จะเสียเพียงไม่กี่อย่าง เช่น แปรงถ่าน เร็คกูเลเตอร์ หน้าสัมผัส เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วขดลวดทองแดงจะไม่ค่อยเสีย หรือไหม้เลย และผมยังเชื่อว่า เนื้องทองแดงในอดีตมีคุณภาพสูงกว่าปัจจุบัน  ลองพิจารณาดูนะครับ การซ่อมครั้งนี้ใช้แปรงถ่านเพียง 80 บาทเท่านั้น สุดคุ้ม

เปลี่ยนมอเตอร์เปิด-ปิดกระจกประตูรถยนต์ Mitsubishi Lancer E-Car

การซ่อมเกี่ยวกับกระจกประตูในอดีต ได้แนะนำการเปลี่ยนสวิทช์ไปแล้ว แต่ในครั้งนี้ถึงคราวของมอเตอร์ขับเคลื่อนการเปิด-ปิด ที่เสีย 3 ตัวพร้อมกัน จึงถือโอกาสเข้าไปซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนเองในคราวเดียวกันเลย

โชคดีที่รถรุ่นนี้สามารถใช้อะไหล่ร่วมกับยี่ห้อ Proton ของมาเลย์เซียได้ จึงได้ราคาถูกกว่า แต่เป็นของ Made in Malaysia (เป็นของใหม่) เมื่อดูคุณภาพการผลิตแล้วไม่น่าจะดีกว่าของที่ติดมากับรถ การซื้อมอเตอร์จำเป็นต้องถอดของเก่าไปให้เขาดูด้วยเพื่อจะได้ไม่ผิดด้าน ถ้าไม่ได้เอาไปอาจจะสบสนด้านขวา หรือด้านซ้ายได้ ไม่แน่ใจว่าจะมองจากข้างในรถ หรือจากยืนหน้ารถ ดูภาพมอเตอร์ก่อนก็แล้วกัน



ขั้นตอนการเปลี่ยนมอเตอร์ออกนั้นมีสิ่งต้องจัดการหลายอย่าง กว่าจะเข้าถึงมอเตอร์ได้ ดังนั้นลำดับการเข้าถึง มีดังนี้

1. ถอดสกรูจำนวน 3 ตัว ดังลูกศร แล้วถอดเบ้าออกด้วย 2 อัน (ลูกศรลง)



2. ใช้แรงดึงกรอบพลาสติกที่ประกบประตูออก ถ้าแน่นมากอาจใช้ไขควงปากแบนงัดออกตามกรอบ เพราะการยึดทั้งสองเข้าด้วยกันด้วยหมุดพลาสติก ดังรูป หลังจากนั้นต้องถอดขั้วสายไฟออกจากสวิทช์ด้วย


รูปนี้เป็นอีกประตูหนึ่งนะครับ แต่เพื่อให้ดูหมุดการยึดของประตู ตามลูกศรนะครับ มันเป็นพลาสติก มันกรอบแตกง่าย อาจต้องซื้อมาเปลี่ยนด้วย ตอนใส่กลับต้องระวังมันไม่ตรงรู

3. ใช้ประแจบล็อก ถอดน็อตจำนวน 3 ตัว ตามลูกศรในภาพ เสร็จแล้วเอาออกพร้อมกับแกะพลาสติกออกมา


5. ถอดน็อตที่ยึดโครงชุดมอเตอร์ออก จำนวน 5 ตัวตามลูกศรสีน้ำเงิน ดังภาพ


ตามภาพจะเห็นว่า ได้ทำหลายประตูอาจจะสบสน แต่จำนวนและหลักการเหมือนกัน ผมทำไปถ่ายไป แต่บางครั้งก็ลืมถ่าย ไปถ่ายเอาที่ประตูอื่น

4. ขั้นตอนการเอาชุดมอเตอร์ขับหน้าต่าง ออกมานั้นจะยุ่งยากลำบากนิดหนึ่ง เช่น กรณีมอเตอร์เสียที่ตำแหน่งปิดหน้าต่างสนิท (อยู่บนสุด) ซึ่งเราต้องการจะถอดกระจกออกจากเฟรมยึด เพราะมีสกรูยึดอยู่ 2 ตัว (พลาสติกสีขาวใกล้ ๆ กับลูกศรสีน้ำเงินล่างสุด) ดังนั้นในครั้งนี้ ผมต้องให้ถอดมอเตอร์ออกก่อนโดยใช้ไขควงแฉกล้วงเข้าไปไขเอาด้านใน แล้วจึงสามารถกดกระจกให้ลงมาด้านล่างได้ จากนั้นจึงถอดสกรูกระจกออกได้ แล้วค่อย ๆ เอากระจกลงมาด้านล่าง (ถอดออกจากกรอบไม่ได้ และไม่จำเป็น เพราะเราจะเอาเพียงชุดขับมอเตอร์ออกเท่านั้น)

5. ช่องรูขนาดใหญ่ด้านล่าง นั้นคือ ช่องที่จะเอาเฟรมมอเตอร์ออกมา จัดระเบียบเล็กน้อยก็สามารถถอดออกมาได้อย่างง่ายดาย ภาพเฟรมที่ถอดออกมา ดังนี้


6. จากภาพด้านบน การเปลี่ยนมอเตอร์ก็เพียงใช้ไขควงแฉกถอดน็อตสกรูออก แต่จำเป็นต้องใช้ไขควงชนิดตอกเพราะแน่นมาก ต้องใช้ค้อนตอกแรง ๆ จึงจะหมุนออกได้ (การหมุนจะต้องหมุนเข้าก่อนแล้วจะหมุนออกง่ายกว่า) ควรฉีดสเปรย์อเนกประสงค์ก่อน จึงจะถอดได้ เมื่อถอดออกแล้วอย่าเพิ่งใส่ชุดมอเตอร์ใหม่เข้าไปก่อน ควรฉีดสเปรย์ที่สายสลิงให้การขึ้นลงลื่นก่อน ใช้มือจับพลาสติกสีขาวดึงขึ้นลง 

7. ใส่ชุดมอเตอร์กลับเข้าไป ทดลองต่อสวิทช์ ทดสอบการหมุนของมอเตอร์ หากทำงานดีก็จัดการประกอบกลับเข้าไปให้เหมือนเดิม โดยทำย้อนกลับ อย่าลืมเสียบซ็อกเก็ตสายไฟ แผ่นพลาสติกให้เรียบร้อย

สุดท้ายนี้ ขอให้กำลังใจกับคนรักรถเก่า คนซื้อรถมือสอง หากสนใจซ่อมรถยนต์ด้วยตนเอง ท่านไม่จำเป็นต้องจบช่างยนต์มา ท่านก็สามารถซ่อมได้ด้วยตนเอง หากมีความสนใจ มีความพยายาม ไม่มีสิ่งใดที่ท่านทำไม่ได้ เพราะใจเราคิดว่าทำได้

comment from facebook