วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มาเปลี่ยนสายหัวเทียนรถยนต์ด้วยตัวเองกันเถอะ

การเปลี่ยนสายหัวเทียน หรือจะเปลี่ยนหัวเทียนด้วยตนเองถือว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ ขั้นต้น สำหรับคนที่อยากจะฝึกเป็นช่างยนต์ เพราะไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรมาก

มาดูอาการและสาเหตุกันก่อนว่าทำไมจึงต้องเปลี่ยนสายหัวเทียน

อาการที่ต้องเปลี่ยนหัวเทียน เกิดจากรถในตอนสตาร์ทใหม่ ๆ จะเกิดอาการเครื่องสะดุด เร่งไม่ขึ้น ต้องให้มันทำงานหลาย ๆ นาที จนเครื่องร้อน จึงจะขับไปได้ ไม่อย่างนั้นมันจะดับ

หากเราเปิดฝากระโปรงมาฟังเสียงบริเวณหัวเทียนเราจะได้ยินเสียงสปาร์คของไฟฟ้า ดัง เพี๊ยะ ๆ แล้วมีประกายไฟเป็นระยะเวลาเร่งเครื่อง

ประกายไฟเหล่านี้จะเป็นอันตรายกับรถที่ใช้แกสได้ ที่มีข่าวรถไฟไหม้ ก็มักจะไหม้บริเวณห้องเครื่องทั้งนั้น ทั้งที่ถังแกสวางอยู่ด้านหลัง

อาการสะดุดจะหายไปเมื่อเครื่องร้อน ช่างบางคนวิเคราะห์ไปถึงระบบจ่ายน้ำมัน

ในกรณีที่ได้ซ่อมครั้งนี้เป็นรถอีคาร์ปี 1993 นานร่วม 24 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยเปลี่ยนมาเลย แต่ผ่านการโมดิฟายมาแล้ว (วิธีการโมดิฟายจะมาบอกในตอนท้าย)

มาดูสาเหตุที่เกิดการสปาร์คกันก่อน ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

สาเหตุเกิดจากฉนวนที่จุ๊บซึ่งเป็นยางได้รับความร้อนอย่างต่อเนื่องสะสมจนทำให้เสื่อมหมดความเป็นฉนวน เกิดเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ ดังนั้นมันจึงวิ่งเข้าหาโลหะที่เป็นขั้วลบของแท่นเครื่อง เราจึงได้ยินเสียงสปาร์คในที่สุด และเครื่องยนต์ก็จะสะดุด

มาถึงวิธีการเปลี่ยนกันเลยดีกว่า
1. นำสายตัวอย่างไปซื้อ ให้ตรงกับรุ่น ระยะความยาวของสาย และความสูงของหัวจุ๊บต้องเท่ากันและเหมือนเดิม
2. จัดการนำสายมาพาดวางไปตามสายไฟเดิม และอย่าเพิ่งถอดสายเดิมออกก่อน
3. เริ่มจากถอดที่ละเส้นแล้วเปลี่ยนทันที เริ่มจากสายสั้นที่สุดก่อน ให้ถอดจุ๊บที่หัวเทียนก่อน แล้วใส่สายใหม่ที่หัวเทียนแทนทันที
4. ค่อย ๆ ไล่ปลายสายไปที่
จานจ่ายถอดของเก่าแล้วใส่ของใหม่ทันทีเช่นกัน
5. ทดลองสตาร์ทเครื่องดู ถ้ายังทำงานปกติ แสดงว่าเราเสียบสายแน่นทั้งสองด้านแล้ว
ดังนั้นจึงให้เปลี่ยนเส้นที่ 2 ทำเหมือนเส้นที่หนึ่ง จนถึงเส้นสุดท้าย
6. เสร็จแล้วเก็บสายให้เรียบร้อยด้วยตัวล็อกรัดสายของเดิม เป็นอันเสร็จพิธี

จัดการสตาร์ทเครื่องทดสอบ จะพบว่าอาการเครื่องสะดุดหายเป็นปลิดทิ้ง

ฉะนั้นการวิเคราะห์สาเหตุ ตามที่ได้ตั้งสมมติฐานเอาไว้ถูกต้อง

มาดูการโมดิฟายของผมเมื่อหลายปีมาแล้ว เมื่อทราบว่าเกิดเครื่องสะดุดแล้วเห็นประกายไฟ ในครั้งนั้นได้แก้ปัญหาด้วยการใช้ผ้าเทปพันสายไฟชนิด เทปละลายยี่ห้อ 3M พันรอบหัวจั๊บตรงหัวเทียนไว้ ก็สามารถใช้ได้ถึงประมาณ 3-4 หมื่นกิโลเมตร

ในครั้งนี้ถ้าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมก็น่าจะได้ แต่ควรเหลาเอาฉนวนของจุ๊บเดิมให้บางออกสักครึ่งหนึ่ง แล้วพันด้วยผ้าเทปละลายให้หนาอีกครั้งหนึ่ง

คุณสมบัติของเทปละลาย สามารถเป็นฉนวนให้กับไฟฟ้าแรงสูงนับเป็นกิโลโวลท์ได้ ราคาม้วนละ 250 บาทขึ้นไป หากสายหัวเทียนยี่ห้อใดแพงเป็นพันสองพันบาทจะแก้ด้วยวิธีนี้ก็ได้ แต่ถ้าสายหัวเทียนใหม่ราคา 500-800 บาทก็ควรซื้อใหม่เถอะ

ขอแถมอีกบางประเด็น นั่นคือ จะมีร้านขายสายหัวเทียนมือสองจากญี่ปุ่น ในราคาที่เกือบเท่ากับของโนเนมแต่เป็นของใหม่ ผมว่าของประเภทนี้มันเสื่อมจากระยะเวลาการสะสมความร้อน ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้ของมือสองในประเภทสายหัวเทียน และการเลือกซื้อสายหัวเทียนไม่จำเป็นต้องเน้นที่สายไฟนำไฟฟ้า แต่ควรเน้นที่ฉนวนกันไฟฟ้าดีกว่า

เชื่อผม ผมเรียนมา จบทางไฟฟ้ามาโดยตรง แต่สามารถซ่อมรถยนต์ได้

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Lancer E-Car ปี 1993 รหัส 4G15 หม้อน้ำร้อน เข็มความร้อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และวิธีซ่อมแก้ปัญหา

สัปดาห์ที่แล้ว จะไปติดต่อชำระเงินค่าเทอมให้ลูกผ่านธนาคาร แล้วจะไปตัดผมต่อ ระยะทางจากบ้านไปธนาคาร แล้วต่อไปยังร้านตัดผมไม่เกิน 10 กิโลเมตร ปรากฏว่ารถคันโปรดก็มีอันความร้อนขึ้น โชคดีที่เห็นเสียก่อน จึงต้องหยุดดับเครื่อง แวะที่ปั๊มมัน เช็คหม้อน้ำ อาการของน้ำเดือดในหม้อน้ำ ดันไปเข้าถังพักจนล้นไหลนองลงพื้น

อาการแบบนี้ของคันนี้ ตั้งแต่ซื้อมาใหม่จนปัจจุบัน รวม 21 ปีเกิดขึ้น 3 ครั้งแล้ว จึงไม่ต้องตกใจมาก
สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือ


  • ดับเครื่องยนต์ แล้วบิดกุญแจรถไปที่ตำแหน่ง On เปิดแอร์เบอร์ 1 ให้พัดลมระบายอากาศของ Condenser แอร์ทำงานสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ให้เย็นเร็วขึ้น
  • ใช้น้ำราดไปที่หม้อน้ำ จนหม้อน้ำเย็น จะสังเกตเห็นว่า เมื่อหม้อน้ำเย็นแล้ว น้ำที่ถังพักจะไหลกลับไปยังหม้อน้ำตามเดิม
  • เปิดฝาปิดหม้อน้ำออกมาดู เพื่อเติมน้ำ (ต้องแน่ใจว่า หม้อน้ำเย็นลงแล้ว เพราะมิฉะนั้น น้ำที่เดือดจะดันเอาไอน้ำร้อนมาลวกใบหน้า มือ ผู้เปิดได้) แต่ถ้าเป็นช่างที่เขารับซ่อมหม้อน้ำ เขาจะไม่เสียเวลารอจนเย็น เขาจะใส่ถุงมือ แล้วใช้กระสอบป่านปิดคลุมหม้อน้ำไว้ ใช้มือบิดฝาหม้อน้ำออกมา ไอความร้อนจะไม่ผ่านกระสอบป่านมายังคนเปิด
  • เปิดรูระบายน้ำ ของหม้อน้ำ ซึ่งอยู่ด้านล่างของหม้อน้ำ ต้องใช้มือล้วงลงไปหมุนทวนเข็มนาฬิกาให้น้ำออกมาจนหมด จะเห็นว่าน้ำในหม้อน้ำของเราสกปรกมากน้อยเพียงไร เพื่อตรวจสอบว่าหมอน้ำของรถตันหรือไม่ด้วย
  • เมื่อน้ำออกจนหมด ให้ใช้สายยางเติมน้ำลงไป แต่เนื่องจากเรายังไม่ปิดรูระบายน้ำ น้ำจึงไหลลงด้านล่าง เป็นการล้างหม้อน้ำอย่างง่าย ๆ เบื้องต้น
  • เมื่อเห็นว่า น้ำที่ไหลออกมาสะอาดแล้ว ก็ให้ปิดรูระบายน้ำ แล้วเติมน้ำจนเต็ม แล้วจึงปิดฝาหม้อน้ำให้สนิท
  • ทดลองสตาร์ทรถ ดูอาการว่าเข็มความร้อนขึ้นสูงอีกหรือไม่ (ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่ถ้าระยะห่างไม่ไกลจากบ้าน ก็สามารถขับกลับบ้านได้ แต่ถ้าเครื่องร้อนอีกก็ให้ดับเครื่อง แล้วเปิดพัดลมแอร์อีกครั้ง
ทีนี้มาดูวิธีการซ่อม และการวิเคราะห์กัน

           สาเหตุที่เกิดความร้อนของหม้อน้ำ ในกรณีที่พัดลมระบายความร้อนยังทำงานเป็นปกติ และน้ำไม่รั่วจากท่อ มีอยู่ด้วยกัน 2 สาเหตุ ได้แก่ 
  1. หม้อน้ำซึ่งทำหน้าที่ระบายความร้อน เกิดตันขึ้นมา เพราะภายในหม้อน้ำจะมีทางเดินของน้ำเป็นคลีบอลูมิเนียมเล็ก ๆ ไปมาระหว่างจากบนไปล่าง หากมีสนิมน้ำหรือตะกรันมาอุดช่องเหล่านี้จะเป็นการปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลผ่านไปได้ น้ำจึงไม่ไหลให้ครบรอบการทำงานของมัน
  2. วาล์ว หรือ เทอร์โมสตัต (thermostat) เสื่อม หรือเสีย วาล์วนี้ทำงานปิดเปิดน้ำให้ไหลครบวงจรของเครื่องยนต์ ตอนเครื่องเย็น วาล์วนี้จะปิด แต่เมื่อน้ำร้อนแล้ว วาล์วจะค่อย ๆ เปิดออก นำ้จะไหลเวียนครบวงจร
จากการวิเคราะห์ครั้งนี้ ผมวิเคราะห์ว่า เกิดจากวาล์วเสีย ไม่ยอมเปิดออกมา ทำให้น้ำไม่วน เพราะจะเห็นว่ามีแรงดันที่หม้อน้ำ ตอนดับเครื่องยนต์แล้ว จะได้เย็นเสียงหม้อน้ำสั่น ๆ มีสภาพความดันภายในสูง

มาดูวิธีการเปลี่ยนวาล์วหรือเทอร์โมสตัตกันเลยครับ (ตำแหน่งที่อยู่ของเทอร์โมสตัตจะอยู่ด้านล่าง ข้าง ๆ ฝาครอบกรองอากาศ ที่เห็นมีท่อน้ำขนาดใหญ่จากหม้อน้ำไปเสียบอยู่นั่นแหละ)





ตำแหน่งของเทอร์โมสตัต


ขั้นตอนมีดังนี้

  • ถ่ายระบายน้ำในหม้อน้ำออกมา
  • ถอดสายยางที่กีดขวางการถอดวาล์วออกมา ถ้าไม่ชำนาญให้จดตำแหน่ง หรือถ่ายรูปเก็บไว้ก็ได้ เพราะตอนใส่กลับจะได้ใส่ได้ถูกต้อง ถอดโดยใช้คีมหนีบเอาสายรัดออกมาพร้อมท่อ


  • ใช้ประแจแหวน หรือประแจบล็อกเบอร์ 12 ซึ่งมีอยู่ 2 ตัว หมุนทวนเข็มนาฬิกา


  • เปิดฝาออกมา จะเห็นวาล์วน้ำ วางอยู่บนร่องบ่า ใช้คีมจับดึงออกมา ซึ่งวาล์วตัวนี้ไม่มีสิ่งใดมาล็อกเลย
  • เอาวาล์วไปเป็นตัวอย่างในการซื้อ ใครใคร่ซื้อกับร้านขายอะไหล่ยนต์หรือซื้อกับตัวแทน Mitsubishi ก็แล้วแต่ความสะดวก แต่ในครั้งนี้ซื้อกับดีลเลอร์ เป็นของแท้ ราคา 824 บาท แม้ว่าเราจะเอาตัวอย่างไปด้วย พนักงานขายจะถามย้ำอีกว่า รถรุ่นอะไร ต้องตอบว่า อีคาร์ 4G15 คาร์บิวรุ่นสุดท้าย เพื่อความมั่นใจ ภายในวาล์วเขาจะมีปะเก็นมาด้วย แล้วอย่าลืมซื้อกาวปะเก็นของทรีบอนด์มาด้วยเพราะต้องใช้คู่กัน
  • ก่อนใส่วาล์วต้องใช้กระดาษทรายขัดเหล็ก ขัดที่บ่าวาล์วทั้งสองด้าน เพราะว่ารถยนต์ที่ใช้มานานจะมีตะกรัน มากัดกินโลหะ เกิดตามด (leak) ซึ่งอาจจะทำให้น้ำรั่วออกมาได้

  • ทากาวปะเก็นทรีบอนที่ฝาปิดทั้งสองด้าน

  • นำวาล์ววางลงไปในร่อง เหมือนกับตอนถอดออกมา
  • เอาด้านบนปิด แล้วยึดขันน็อตจนแน่น (หมุนตามเข็มนาฬิกา) รอให้กาวแห้งแล้วค่อยเติมน้ำให้เต็มหม้อน้ำ จึงสตาร์ดรถได้

เมื่อทดลองนำมาขับใช้งานระยะทางไกล ๆ ปรากฏว่าข้อวินิจฉัยที่เราได้วินิจฉัยไว้ถูกต้อง เครื่องยนต์ไม่ร้อน เข็มความร้อนอยู่ในตำแหน่งตรงกลางตามปกติ หากว่าเราไม่ทำเอง ร้านอาจจะวิเคราะห์ว่าหม้อน้ำตัน ซ่อมหม้อน้ำ หรือแนะนำให้เปลี่ยนหม้อน้ำใหม่ก็ได้ โดยเฉพาะคนที่เขาดูแล้วว่าไม่มีความรู้ เขาจะเปลี่ยนโน่น นี่ นั่น แล้วแต่เขาจะบอก ซึ่งโดยทั่วไปของรถรุ่นนี้เขาจะทำทีเดียว 2 อย่างคือ ถอดหม้อน้ำไปให้ร้านรับล้างหม้อน้ำ และเปลี่ยนวาล์ว อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่านี้  

งานชิ้นนี้คนที่ไม่มีความรู้ทางเครื่องยนต์สามารถทำได้ครับ เพียงแต่ใจของเราบอกกับเราว่า "ไม่มีสิ่งใดที่เราทำไม่ได้ ตราบใดที่ยังมี google กับ youtube อยู่"

สุดท้ายขอให้ชาวอีคาร์ และผู้ที่หลงไหลรถเก่า หรือกลุ่มรักรถ vintage จงอนุรักษ์ รักษาสภาพรถของเราให้ใช้งานได้ตลอด หมั่นเช็คสนิมอย่าให้ได้มากล้ำกราย (ยกเว้นสนิมหลังคา 555)  รักษาความสะอาด ให้คนทั่วไปได้เห็นว่ารถอีคาร์ อึด ทน ทาน มีอะไหล่ในท้องตลาด และยังคงเห็นรถรุ่นนี้ยังวิ่งอยู่บนถนนมากกว่ายี่ห้ออื่น ๆ (ปีที่ผลิตเดียวกัน) อยู่เสมอ

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แลนเซอร์ อีคาร์ ปี 93 รหัสเครื่อง 4G15 เข้าเกียร์ 1 ติดขัด

สืบเนื่องจากมีคำถามจากสมาชิกว่า เมื่อเข้าเกียร์ 1 จะเข้าเกียร์ได้ยาก หรือติดอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งปัญหานี้ก็เคยมีปัญหามาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นได้เข้าอู่ให้ช่างเขาแก้ไขให้ ปรากฏว่าใช้ได้ดีมาระยะหนึ่ง แต่พอมาถึงปัจจุบัน มันเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่เมื่อครั้งที่แล้ว เกิดปัญหาเกียร์หลวมเพราะน็อตจะหลุด ได้เปิดเข้าดูเห็นโครงสร้างของคันเกียร์ ทำให้ทราบสาเหตุของปัญหา วันนี้จึงทำการซ่อมแล้วนำมาแนะนำให้สมาชิกได้ทดลองทำตาม ไม่ต้องเข้าอู่ซ่อมอีกต่อไป การซ่อมครั้งนี้ไม่ต้องซื้ออะไหล่ จึงไม่มีค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้รถรุ่นนี้ทุกคน สามารถซ่อมได้ด้วยตนเอง แม้ว่าไม่ได้เป็นช่างยนต์ก็ตาม

มาดูสาเหตุของการเข้าเกียร์ 1 ไม่ได้กันเลยครับ ให้พิจารณาจากภาพต่อไปนี้



ให้สังเกตที่ปลายลูกศรสีแดง เมื่อเราโยกเกียร์จะเข้าเกียร์ 1 เราต้องโยกไปทางซ้ายมือสุด แล้วผลักไปด้านหน้า ขณะที่เราโยกและผลัก จะทำให้คันเกียร์ด้านล่างตรงปลายลูกศรสีแดงไปเบียด หรือขัดกับฐานของเกียร์

ส่วนสาเหตุที่ไปขัดกันนั้นก็เนื่องมาจาก กระบอกคันโยกเกียร์หลวมมาก วิธีแก้ไข จึงควรอัดหรือใส่ปลอกไว้ในกระบอกเกียร์นะครับ


  • วัสดุที่จะอัดในปลอกคันเกียร์ ผมใช้ขวดน้ำดื่มขาวใส วัดขนาดให้เท่ากับความกว้างของกระบอกคันเกียร์




  • ถอดคันเกียร์ออกมา ด้วยประแจเบอร์ 14 ดังภาพ


  • เมื่อถอดออกมาให้ม้วนแผ่นพลาสติกที่ตัดมาจากขวด พันรอบแกน ดังภาพ

  • พันหลายรอบจนหนา (ในที่นี้ผมใช้ขวดขาวเต็ม 1 รอบ ตามภาพที่ 1)
  • ใส่คันเกียร์กลับเข้าไป แล้วขันน็อตเบอร์ 14 กลับตามเดิม อย่าลืมว่ามีแหวนธรรมดาอยู่ด้านในสุด และแหวนสปริงรองอีกครั้ง
  • ทดลองเข้าเกียร์ 1 ดู จะรู้สึกว่าเข้าเกียร์ได้แม่นยำ ไม่ได้ยินเสียงเกียร์หลวมอีกต่อไป
สำหรับการถอดอุปกรณ์ทั้งหมดก่อนจะถึงเกียร์ มีขั้นตอนตามภาพ ต่อไปนี้












หวังว่าคงมีประโยชน์ สำหรับสมาชิก Lancer e-car กันทุกคนนะครับ

เปลี่ยนดิสก์เบรคล้อหน้า แลนเซอร์ อีคาร์ 4G15 ปี 93

การเปลี่ยนผ้าเบรค แบบดิสก์ด้วยตนเองนั้น ช่าง หรือกูรู หลายคนไม่แนะนำให้ทำ เพราะมันเป็นเรื่องของความปลอดภัย หากทำผิดพลาด ขาดตกบกพร่องอาจอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สินได้

แต่สำหรับคนที่มีพื้นฐานทางช่าง ที่ผ่านการเรียนวิชาเทคนิคพื้นฐาน เทคนิคการใช้เครื่องมือ พื้นฐานความปลอดภัยมาแล้ว ผมคิดว่าท่านสามารถทำได้ ไม่ว่าท่านจะเรียน ช่างก่อสร้าง ช่างเชื่อม ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างไฟฟ้า ฯลฯ เพราะว่าเมื่อศึกษาเพิ่มเติมจากที่เขาสอนในเว็บ หรือใน youtube เราจะรู้ว่ามันทำได้ไม่ยากเลย

ในวันนี้ หลังจากผมเคยใช้บริการเปลี่ยนผ้าเบรคมาครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งนั้นไม่แน่ใจว่าช่างเอาผ้าเบรคยี่ห้ออะไรมาเปลี่ยนให้ ตอนใช้ใหม่ ๆ ก็ไม่ได้เปรียบเทียบกับรถอะไร ขับไปได้เรื่อย แต่เมื่อได้ขับรถคันอื่นแล้ว มาเปรียบเทียบกันแล้ว ปรากฏว่ารถเราเบรคไม่ค่อยดี เสี่ยงต่อการชนท้ายเพื่อนได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะพฤติกรรมการขับรถของผู้ใช้รถในปัจจุบัน ที่ไม่เหมือนในอดีต เพราะในอดีตรถไม่มาก การแย่งพื้นที่บนถนนจะไม่มี แต่พอมีโครงการรถคันแรกเกิดขึ้น จึงมีพวกเกรียนขับรถ ปาดซ้าย ปาดขวา แซงขึ้นมาแล้วแกล้งเบรคก็มี อย่างล่าสุด สด ๆ ร้อน ๆ ทำให้เราต้องเบรคจนเสียงอี๊ด!!! ดังสนั่น......

หากเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ คงอันตราย เห็นทีต้องเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่แล้ว ดังนั้นจึงเข้าศึกษาหาความรู้กับอาจารย์กูเกิล และ youtube ได้รู้ว่ายี่ห้อ เบนดิก กับ akebono น่าสนใจ จึงไปซื้อที่ร้านอะไหล่ยนต์ ได้ยี่ห้อ เบนดิก ส่วน akebono พนักงานที่ร้านไม่รู้จัก อย่าลืมตอนซื้อต้องบอกยี่ห้อและรุ่นของรถเราให้ตรงกันด้วยนะครับ

มาดูขั้นตอนการเปลี่ยนผ้าเบรค กันเลยดีกว่า

1. ขั้นตอนการเตรียมการ และการรักษาความปลอดภัยขณะทำงาน

  • ดึงเบรกมือเพื่อไม่ให้ล้อหลังเคลื่อน
  • ถอดน็อตยึดล้อหน้าด้านที่ต้องการเปลี่ยนก่อนให้พอหลวม ๆ ไม่ต้องให้หลุดออกมา

  • ใช้แผ่นไม้ หรือแผ่นคอนกรีตที่หนา ๆ เรียบ ๆ รองใต้ฐาน วางแม่แรงยกรถไว้บนเพื่อกันแม่แรงล้ม ขณะยกรถขึ้น
  • นำแม่แรงที่ติดมากับรถ วางตรงตำแหน่งที่คู่มือประจำรถแนะนำ (จะมีเครื่องหมายบอก) ทำการหมุนแม่แรงเพื่อยกรถให้สูงจนวางเหล็ก 3 ขาได้

  • ถอดน็อตที่ล้อออกให้หมดทั้ง 4 ตัว ดึงล้อออกมา ถ้าแน่นมาดึงด้วยมือไม่ได้ ให้ใช้เท้าถีบที่ยาง จะหลุดออกมาง่ายดาย
2. ขั้นตอนการเปลี่ยน
  • ใช้ประแจเบอร์ 14 (ใช้ประแจบล็อกจะทำให้ถอดง่ายขึ้น) ถอดน็อตตัวบน ดังภาพ (น็อตตัวล่างไม่ต้องถอด)

  • ใช้คีมดึงคลิปหนีบ (ที่ทำหน้าที่รั้งตรึงสายเบรคให้อยู่กับที่) ออกมา แล้วดึงสายเบรคออกมา ถ้าแน่นมากจะใช้คีมดึงไม่ออก ให้ใช้ฆ้อนตีบนไขควงตอกให้เคลื่นตัว แล้วใช้คีมดึงอีกที

  • เมื่อถอดน็อตตัวบนออกแล้ว และสายเบรคออกจากตัวยึดแล้ว ให้ดึงเปิดฝาครอบผ้าเบรคลงมา 
  • จะเห็นแผ่นรองผ้าเบรก เป็นแผ่นเหล็กบาง ๆ ให้ดึงออกมาได้เลย หลังจากนั้นจึงดึงแผ่นผ้าเบรคออกมาอย่างง่ายดาย

  • ขั้นตอนการใส่กลับ ให้เอาผ้าเบรคใส่เข้าไปในร่อง เหมือนกับที่เอาออกมา แล้วค่อยใส่แผ่นเหล็กบาง ๆ ปิดประกบ แต่มันจะไม่เรียบสนิทกับแผ่นผ้าเบรค บางทีหลุดหรือหล่นลงมา จึงควรทาจารบีด้านที่ประกบกับผ้าเบรคบาง ๆ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้มันเรียบสนิทสะดวกตอนยกฝาครอบเบรคกลับ

  • หลังจากนั้น ให้ลงมือถอดชุดผ้าเบรคด้านใน ในตอนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ เราสามารถก้มหน้าเข้าไปมองแผ่นเบรคเห็น จัดการนำแผ่นเหล็กบางออกมา ซึ่งด้านในจะมีแผ่นรอง 2 แผ่น วิธีการถอดและการใส่จะเหมือนกันทั้งสองด้าน
  • ในเว็บบอร์ดที่มีการถามตอบการเปลี่ยนเบรค จะมีการแนะนำให้เจียร์จานเบรค แต่เราควรดูด้วยตนเองได้ว่าจานเบรคของเรามีร่องรอยไม่เรียบ หรือไม่ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ปล่อยให้ผ้าเบรคหมด มักจะไม่เกิดร่อง รอยสึกหรอแต่อย่างใด การที่ช่างเขาแนะนำให้เจียร์จานเบรคเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
  • เมื่อใส่ผ้าเบรคเสร็จทั้ง 2 ด้านแล้ว ขั้นต่อไปคือการปิดฝาครอบเบรคกลับ แต่จะไม่สามารถปิดได้ เพราะคาลิปเปอร์ หรือลูกยางที่คอยดันออกเมื่อเราเหยียบเบรค มันจะยื่นออกมามากทำให้ช่องมันแคบ ปิดไม่ได้ ดังนั้นต้องใช้ ซีแคลมป์ ขันให้น้ำมันเบรคออกไปพร้อมกับลูกยางให้มันผลุบเข้าไปด้านใน ซึ่งขณะหมุนเข้าไปน้ำมันเบรคภายในสายจะขึ้นไปเก็บในช่องเติมน้ำมันเบรค จึงต้องเปิดฝาน้ำมันเบรคออก 

  • ในการขันซีแคลมป์เราอาจใช้แผ่นเบรคเก่ารอง หรือใช้แผ่นไม้ ก็ได้ จากนั้นจึงยกฝาขึ้นปิดกลับตามเดิม พร้อมยึดน็อตเบอร์ 14 และยึดตรึงสายเบรคด้วยคลิปหนีบตามเดิม
  • จัดการใส่ล้อ ใส่น็อตล้อทั้ง 4 ตัว ขันพอแน่น เอาสามขาออก และแม่แรงลง เมื่อล้อถึงพื้นจึงหมุนน็อตยึดล้อให้แน่นทั้ง 4 ตัว
  • จัดการเปลี่ยนแผ่นผ้าเบรคอีกด้านของรถ ด้วยวิธีเดียวกัน
  • เสร็จแล้วอย่าลืม ยึดน็อตที่ล้อให้แน่น และปิดฝาน้ำมันเบรคให้สนิท 
  • ทดลองขับ ทดลองเบรค ในครั้งแรกที่เครื่องสตาร์ทติดต้องทดลองเหยียบเบรค 2-3 ครั้งก่อนเพื่อให้ไล่ลม มิฉะนั้นหากเข้าเกียร์ออกรถไปเลย จะเบรคไม่ได้ อาจเกิดอุบัติเหตุได้

รถผมคันนี้มีระยะเข็มไมล์ วิ่งได้ 327000 กว่า กม. แล้ว เพิ่งเปลี่ยนผ้าเบรคครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบสภาพ ระหว่างของใหม่ กับของที่ถอดดูปรากฏว่า ผ้าเบรคสึกไปแค่เพียงครึ่งเดียว



ด้านซ้ายมือเป็นของใหม่ ด้านขวาเป็นของที่ถอดออกมา

จะเห็นว่า ผมขับรถ ใช้เบรคน้อยมาก เมื่อเทียบกับคนขับอื่น ๆ ดังนั้น จึงขอให้คำแนะนำให้ผู้ที่สนใจต้องการใช้รถให้ได้นาน ประหยัดค่าซ่อมบำรุง ค่าอะไหล่ มีดังนี้

  • สิ่งแรกที่ผมจะทำคือ กำหนดไว้เลยว่า ถ้าเดินทางระยะใกล้ ๆ จะใช้วิธีเดิน กับปั่นจักรยาน ยกเว้นต้องบรรทุกสิ่งของ
  • ขับรถความเร็วตามกฏหมายกำหนดคือ 90 กม./ชม. หากต้องเร่งรีบ จะใช้วิธีไปก่อนเวลา อย่าคำนวณตามระยะทางตามหลักคณิตศาสตร์ เช่น เราจะเดินทางไปยังเป้าหมายระยะทาง 90 กม. เราคำนวณว่า เราใช้ความเร็ว 90 กม./ชม. ดังนั้น เราจะใช้เวลาเพียง 1 ชม.ก็พอ ซึ่งแบบนี้จะผิดพลาด เพราะเราต้องเผื่อติดไฟแดง เผื่อการจราจรติดขัด เผื่อผ่านเขตชุมชน ฯลฯ ปกติ ระยะทาง 90 กม. ผมใช้เวลา 1 ชม.30 ถึง 1 ชม. 45 นาที
  • อย่าขับรถชิดคัดข้างหน้ามากเกินไป  ผมจะใช้ระยะห่างจากท้ายคันหน้า ประมาณ 4-5 วินาที ใช้เทคนิคมาร์คท้ายรถคันหน้าแล้วนับ 01-02-03-04 ถ้าตำแหน่งที่พูด 04 ถึงตำแหน่งที่ท้ายรถคันหน้าอยู่พอดี (ตอนเราพูด 01) เราจะปลอดภัยจากการชนท้าย หรือการเบรคอย่างรุนแรง วิธีการนี้ใช้ได้ทุกความเร็ว
  • หากรถเราอยู่ระยะห่างตามข้อข้างบน  ในขณะคันข้างหน้าเบรค ให้เราเพียงยกเท้าออกจากคันเร่งเท่านั้น ไม่ต้องเบรคตาม
  • หลีกเลี่ยงขับรถตามหลังคันที่เบรคโดยไม่มีเหตุผล หรือเร่งความเร็วแล้วเบรค เร่งแล้วเบรค
  • เมื่อเห็นรถติดไฟแดงตั้งแต่ไกล ๆ ให้ถอนคันเร่งทันที ปล่อยให้รถไหลไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยเบรคเบา ๆ เมื่อใกล้จะถึงรถคันหน้า
  • หลักการแซงอย่างปลอดภัย คือ การแซงรถคันหน้า ให้ใช้ความเร็วกว่ารถที่เราจะแซง 10% ก็เพียงพอ หากคันหน้าเปลี่ยนเลนกะทันหันจะทำให้เราเบรคได้ทัน การทำความเร็วสูง แล้วแซงรถที่ความเร็วปกติ จะทำให้รถคันหน้าตกใจได้ 
  • ไม่เปิดไฟสูงกระพริบใส่รถคันหน้า

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทดสอบการใช้เครื่องฉีดน้ำความดันสูงล้างห้องเครื่องยนต์

เคยสงสัยว่าถ้าเราใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง เข้าไปล้างขี้ฝุ่นที่จับเขรอะที่เครื่องยนต์จะทำให้เสียหาย หรือสตาร์ทติดหรือไม่

ก่อนทดลองจริง ได้เข้าไปค้นหาใน google ดูแล้ว มีหลายคนไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น เขาแนะนำให้ใช้น้ำยาล้างเครื่องยนต์ ที่เป็นสเปรย์ ที่หาซื้อได้จากโลตัส หรือร้านประดับยนต์ทั่วไป ผมไปหาซื้อตามที่ว่า ไม่เห็นมีขาย

 แต่ที่น่าสนใจก็คือ น้ำยาล้างห้องเครื่องสูตรเชียงกง หาดูในยูทูปได้เลยครับ

ที่นำมาเสนอในครั้งนี้เป็นการใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ขนาด 120 บาร์ ฉีดเข้าไปในห้องเครื่อง เมื่อฉีดเสร็จ สตาร์ทเครื่อง ครั้งเดียวติดเลย น่าประหลาดใจยิ่งนัก

เมื่อติดแล้วก็ให้ทำงานจนกระทั่งเครื่องร้อน (เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะสตาร์ทไม่ติด) และไม่ต้องใช้เครื่องเป่าลมไล่น้ำเพราะว่าไม่มีเครื่อง

แต่ก่อนฉีดน้ำผมได้ปิดจานจ่าย คาร์บูฯ และกรองอากาศ ปิดขั้วหัวเทียนด้วยถุงพลาสติกนะครับ

ดูภาพเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณา แต่คนที่ไม่รู้ ไม่ชำนาญ และจำเป็นต้องใช้รถโดยด่วน ไม่ควรทำตามนะครับ



วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีคาร์ เปลี่ยนปั๊มน้ำมัน

การส่งน้ำมันจากถังใต้ท้องรถมายังเครื่องยนต์ ในรถรุ่นใหม่จะใส่ มอเตอร์ปั๊มเอาไว้ภายในถังน้ำมันเลย ช่างจะเรียกว่า ปั๊มติ๊ก ภาษาอังกฤษเรียกว่า fuel pump ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า มักเกิดปัญหาบ่อย ทั้งระบบไฟฟ้าและตัวปั๊มเอง แต่รถยนต์รุ่นเก่าจะใช้หลักการทางกลไกการหมุนของเครื่องยนต์ไปขับไดอะแฟรมให้โยกขึ้นลง เหมือนกับปั๊มคนโยกของชาวบ้านในชนบท ดังนั้นการวางของตัวปั๊มจะไปวางติดกับเครื่องยนต์

การเสียของปั๊มแบบกลไก จะเสียเฉพาะแผ่นไดอะแฟรมภายในตัวปั๊ม ซึ่งถ้ารั่วจะทำให้การดูดน้ำมันไม่ได้ เครื่องยนต์ดับ ปกติเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันมักไม่ค่อยเสีย แต่รถผมใช้แกสมาสักระยะหนึ่ง การขับน้ำมันจึงถูกปิดกั้นด้วยโซลินอยด์วาล์ว ทำให้เมื่อมีแรงดันน้ำมันมากมันจะย้อนกลับไปลงถัง

มาดูภาพปั๊มน้ำมันของเครื่อง 4G15 กันก่อน



ภาพตามไดอะแกรมของคู่มือครับ หมายเลข 5 เขาเรียกว่า Insulator หรือฉนวน





มาเริ่มการถอดกันเลย

  • ถอดสายยางท่อน้ำมัน 4 เส้น ออก จำให้ได้ด้วยนะ แนะนำให้ถ่ายรูปเอาไว้ก่อนถอด เวลาใส่กลับจะได้ใส่ถูก ที่วงกลมสีเหลือง ปกติจะต่อท่อด้านล่าง แต่ของผมเสียน้ำมันจะไหลออกทางนี้จึงบีบพับเอาไว้ เดิมเป็นท่อ Drain ทิ้ง


  • จากภาพด้านบนจะมีน็อตยึดปั๊ม 2 ตัว แต่มองไม่เห็น (จะอยู่ด้านใต้ฐาน) ใช้ประแจเบอร์ 12 ขันออก ควรใช้ประแจบล็อกต่อด้าม และอีกตัวหนึ่งต้องใช้บล็อกชนิดยาวของยี่ห้อ Force 
  • เมื่อถอดน็อตออกมาแล้ว ก็ให้ดึงปั๊มออกมา พร้อมกับปะเก็นชนิดหนา อาจเป็นไฟเบอร์เพราะหนาและเบา ระวังอย่าให้แตกหรือหัก


 

  • ปะเก็นไฟเบอร์ชนิดหนา นำมาตัดปะเก็น 2 แผ่น ดังภาพด้านล่าง



  • ในคู่มือบอกว่าจะต้องมีปะเก็นชนิดบางประกบหน้า หลังสองด้าน จึงต้องตัดปะเก็น เพราะที่ศูนย์ไม่มีขาย ซื้อแผ่นปะเก็นมาตัดเอาเองก็ได้
  • เมื่อตัดแล้ว ให้ทากาวซีลปะเก็น ดังภาพ (อยู่ในกล่อง) เวลาซื้อบอกร้านว่า กาวทาปะเก็น ให้ทากาวที่ปะเก็นทั้ง 2 ด้าน รวมทั้งทาปะเก็นหนาและที่ลูกศรตัวปั๊มด้วย


  • ประกอบชุดปั๊มกับปะเก็นกลับให้อยู่ในสภาพเดิม
  • นำไปติดตั้งกลับที่เดิม
  • ใส่สายยางกลับ ยึดน็อตทุกตัวให้แน่น ระวังนี่คือสายน้ำมัน หากมีรั่วอาจเป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้รถ ดังที่เป็นข่าว
หมายเหตุ
  • รถที่ติดแกส ควรตรวจสอบท่อน้ำมัน ท่อแกสอย่างรอบคอบ บ่อย ๆ หากท่อมีรอยแตกปริ ๆ บริเวณโคนสาย ควรเปลี่ยนสายทันที โดยถอดตัวอย่างสายไปด้วย ควรซื้อสายที่มีคุณภาพดี ทนความร้อนสูงด้วย

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีคาร์ รหัสเครื่องยนต์ 4G15 เปลี่ยนซีลฝาวาล์ว 129 บาท

ซีลฝาวาล์วในเครื่องยนต์โดยเฉพาะเครื่อง 4G15 ทำมาจากยาง บางคนจึงเรียกยางฝาวาล์ว เมื่อใช้งานนาน ๆ จะได้รับความร้อนสะสมจากเครื่องยนต์ทำให้คุณสมบัติของยางที่นิ่มนวลกลับแข็งกระด้าง หรือเรียกว่ายางตายนั่นเอง

คุณสมบัติในการปิดกั้นน้ำมันเครื่องไม่ให้ออกมา จึงไม่ทำงานตามหน้าที่ของมัน ปล่อยให้น้ำมันเครื่องเล็ดลอดออกมาบริเวณภายนอกเครื่อง เจ้าของรถจำเป็นต้องเติมน้ำมันเครื่องอยู่เรื่อย ๆ บางคนไม่ได้เคยเปิดฝากระโปรงด้วยตนเองเลย อาจทำให้น้ำมันเครื่องพร่อง เครื่องยนต์ร้อน กลไกภายในจะพังในที่สุด

วันนี้ขอนำเสนอการเปลี่ยนซีลฝาวาล์ว ที่ทำได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นช่างมาก่อน ด้วยงบประมาณ 129 บาท ของแท้เบิกห้างซะด้วย

มาดูภาพของน้ำมันเครื่องซึมออกมาสะสมบริเวณด้านข้างเครื่องกันก่อนครับ


เมื่อเห็นสภาพเครื่องยนต์แล้ว ให้ไปเปิดฝากระโปรงรถของท่านดูเลย หากเป็นแบบนี้ให้อ่าน และดูภาพจนแล้วออกไปซื้ออะไหล่ที่ศูนย์บริการ บอกว่า ซื้อซีลฝาวาล์ว หรือยางฝาวาล์ว รหัสเครื่องยนต์ที่ติดอยู่บริเวณห้องเครื่อง เช่น 4G15 เป็นต้น แล้วซื้อประแจบล็อกชุด และไขควงชุดหนึ่งชุด

ขั้นตอนการถอด มีดังนี้


  • ถอดชุดฝาครอบกรองคาร์บิวออก ตามลูกศร


  • ใช้ประแจเบอร์ 13 ถอดน็อตที่ยึดติดตัวกรองอากาศ ถอดสายยาง 2 เส้นด้านบนของภาพ ถอดปลดสายยึดหัวเทียนออกจากร่อง โดยไม่ต้องดึงสายหัวเทียนออกก็ได้
  • ที่ลูกศรสีเหลืองใช้ประแจเบอร์ 10 ถอดออกทั้ง 6 ตัว 
  • ใช้ไขควงปากแบนแงะฝาปิดวาล์วออก




  • นำฝามาหงายขึ้นบน ใช้ไขควงปากแบนงัดยางเก่าออกมา




  • เตรียมยางอะไหล่มาเทียบดูการวาง เพราะใส่ผิดด้านจะไม่ได้ เพราะด้านในจะมีมุมมน ด้านบนจะเป็นเหลี่ยม ให้ใส่กลับเข้าไป บีบอัดด้วยมือให้เข้าร่องเหมือนเดิม
  • ทากาวปะเก็นรอบ ๆ ยาง




  • ประกอบกลับโดยขันน็อตเข้าทั้ง 6 ตัว พยายามขันวนไปมาทั้ง 6 ตัว อย่าขันให้แน่นตัวใดตัวหนึ่งก่อน 



  • ใส่สายยาง 2 เส้น น็อตยึดกรองอากาศ สายหัวเทียน
  • ประกอบกรองอากาศเข้าที่เดิม
  • ลองสตาร์ทรถ ดูการซึมของนำ้มันยังมีหรือไม่
หมายเหตุ
  • เมื่อประกอบเสร็จ แนะนำให้ทำความสะอาดคราบน้ำมันออกให้หมด จะได้เห็นการซึมของน้ำมันเครื่องได้โดยง่าย

comment from facebook